- Airport Terminal
- Airport City
- Airport Cargo & Logistics
คาดเปิดใช้งานสนามบินอู่ตะเภา ปี 2571
- ผลประมูลอย่างเป็นทางการ บีบีเอส เป็นผู้ยื่นข้อเสนอและผลตอบแทนที่ดีที่สุดแก่รัฐ
- เซ็นสัญญาร่วมลงทุน
- Master Plan Submission ส่งแบบและแก้ไขงานออกแบบ
- สกพอ. แจ้งเริ่มสิทธิ์ร่วมลงทุนแก่ UTA
- ครม.อนุมัติ เป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เป็นเขตการค้าเสรี
- เตรียมเคลียร์พื้นที่
- มีการลงนามข้อตกลงแผนประสานงานร่วมระหว่าง โครงการ สนามบินอู่ตะเภา และ โครงการรถไฟความเร็สูง
- เริ่มการก่อสร้างและนับระยะเวลาโครงการ
- ระบบสาธารณูปโภคแล้วเสร็จ
- เป้าหมายเปิดให้บริการสนามบิน
พัฒนาสู่เมืองการบินภาคตะวันออก
- อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 อาคารเทียบเครื่องบินรอง
- ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ (Cargo Logistic Center) เพื่อตอบโจทย์การขนส่งสินค้าในภูมิภาคโดยเป็นศูนย์รวมและกระจายของขนส่ง 4 โหมดครบวงจร ทั้งทางอากาศ ทางราง ทางถนน และทางนํ้า หรือ Multimodel Transport
- เขตประกอบการค้าเสรี
- ศูนย์การขนส่งภาคพื้น
- ศูนย์ธุรกิจการค้า
เมืองการบิน 1,000 ไร่ 14 โซน
- ระบบในเมืองจะขับเคลื่อนด้วยระบบอัจฉริยะและเทคโนโลยี
- ศูนย์รวมด้านความบันเทิง กีฬา ระบบเมืองและขนส่งยุคอนาคต
- รองรับการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้า ยานยนต์อัตโนมัติ และอากาศยานไร้คนขับ
- ห้างสรรพสินค้า : 41 ไร่
- โรงแรมระดับ 3 ดาว : 15 ไร่
- โรงแรมระดับ 4 ดาว : 26 ไร่
- โรงแรมระดับ 5 ดาว : 78 ไร่
- ที่พักผ่อนแบบผสมผสาน : 30 ไร่
- ที่อยู่อาศัยมิกซ์ยูส : 97 ไร่
- คอมมิวนิตี้ฮับ : 49 ไร่
- ย่านศิลปะ : 13 ไร่
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะ : 6 ไร่
- ร้านอาหารริมน้ำ : 8 ไร่
- ที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัว : 37 ไร่
- ศูนย์แสดงสินค้าและนิทรรศการนานาชาติ : 147 ไร่
- พื้นที่ใช้งานแบบผสมผสาน : 15 ไร่
- พื้นที่เกาะ : 6 ไร่
ภาพจำลองบรรยากาศเมืองการบิน
Terminal ใหม่หลังที่ 3 รองรับสูงสุด 60 ล้านคน/ปี
- ระยะที่ 1 และ 2 : สร้างอาคารผู้โดยสารหลักแห่งใหม่ (Terminal 3) พื้นที่ 157,000 ตร.ม. รองรับผู้โดยสาร 12 - 15.9 ล้านคน/ปี
- ระยะที่ 3 และ 4 : ขยายอาคารผู้โดยสารหลักเป็น 264,000 ตร.ม. รองรับผู้โดยสาร 22.4 - 30 ล้านคน/ปี
- ระยะที่ 5 : ขยายอาคารผู้โดยสารหลักเป็น 371,000 ตร.ม. รองรับผู้โดยสาร 45 ล้านคน/ปี
- ระยะที่ 6 : สร้างอาคารผู้โดยสารกองกลางใหม่ 82,000 ตร.ม. รองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคน/ปี
ภาพจำลองบรรยากาศอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 3
ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์กว่า 300 ไร่
- เป็น “สนามบินกรุงเทพฯ แห่งที่ 3" เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง
- เป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation" ของอีอีซี
- เป็น “เมืองท่าที่สำคัญ" เชื่อมโยงขยายกรุงเทพไปทางตะวันออก ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ
Update ภาพสนามบินอู่ตะเภาล่าสุด (มิถุนายน 2560)
Update วิดีโอสนามบินอู่ตะเภาล่าสุด (มิถุนายน 2560)
. . โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development หรือ EEC) เป็นโครงการที่จะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน, รถไฟ, ท่าเรือ และสนามบิน เพื่อพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อดึงดูดนักลงทุนและส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่นี้ เพิ่มศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม และการพัฒนาเมือง โดยมีจังหวัดในภาคตะวันออกที่อยู่ในการพัฒนา คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ล่าสุดมีความเห็นชอบโครงการภายใต้แผนงานพัฒนา (พ.ศ. 2560-2564) ที่ต้องเร่งดำเนินการในปี 2560 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 6,992.67 ลบ. โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ซึ่งในตอนนี้กำลังเร่งศึกษาแผนพัฒนาดังนี้ พัฒนาท่าเรือพาณิชย์สัตหีบเป็น จุดจอดเรือยอชต์, ขยายท่าเรือแหลมฉบัง - ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด, เร่งปรับท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นสนามบินร่วมระหว่างพลเรือนและทหาร และศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ใน Blog นี้ ทาง Realist จึงได้รวบรวมแผนการพัฒนาและข่าวอัพเดทของการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภามาให้ชมกันก่อนนะครับ โดยตามแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ส่วนของท่าอากาศยานอู่ตะเภา ประจำปี 2560-2564 มีแผนการพัฒนาที่ต่อจากการพัฒนาในปัจจุบันที่กำลังก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ซึ่งมีแผนพัฒนาคร่าวๆดังนี้- ระยะที่ 1
- ระยะที่ 2
- ระยะที่ 3
อู่ตะเภา TIMELINE
- 2504 - เริ่มโครงการสนามบินอู่ตะเภาเป็นท่าอากาศยานภายใต้การดูแลของกองทัพเรือไทย ตั้งอยู่ใน จ. ระยอง
- 2508 - คณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเป็นหน่วยในการลำเลียงหน่วยรบไปยังจุดต่างๆภายในประเทศ การก่อสร้างใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยใช้ชื่อว่า "สนามบินอู่ตะเภา"
- 2519 - กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังทหารออก คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ระหว่างประเทศ และเป็นสนามบินสำรองของท่าอากาศยานดอนเมือง
- 2551 - แต่หลังจากเหตุการณ์ทางการเมือง และน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ รัฐบาลมีโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินสำรองของกรุงเทพ โดยมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ ขนาดรองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี มาตั้งแต่ปี 2554
- 2558 - ล่าสุด 3 มิ.ย. 2558 ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์ แห่งที่ 3 ซึ่งมีแผนพัฒนาต่างๆเกิดขึ้นมาในอนาคต
• การพัฒนาเชิงพาณิชย์
ปัจจุบันอาคารผู้โดยสารรองรับได้ 8 แสนคน/ปี และกำลังจะเปิดอาคารผู้โดยสารหลังใหม่รองรับได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคน/ปีในราวกลางปีหน้า ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างเตรียมจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ในระยะ ที่ 2 และ 3 ต่อไป โดยคาดการณ์ผู้ใช้งานสูงสุดในอนาคต 60 ล้านคน/ปี• นิคมอุตสาหกรรมการบิน
ขณะนี้การบินไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนพัฒนาศูนย์ซ่อมเครื่องบินที่อู่ตะเภา คาดใช้งบฯลงทุนหลักหมื่นล้าน โดยมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินในภูมิภาคเอเชีย โดยจะผลักดันให้เกิดการลงทุนระยะที่ 1 (ปี 2559-2561)ก่อน จากทั้งหมดมี 3 ระยะ• พัฒนาคมนาคมควบคู่
ส่วนใหญ่เป็นการขยายถนนที่เข้าถึงสนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้รองรับการสัญจรให้มากขึ้น รวมถึงมีการก่อสร้างมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุดเพิ่มเติม นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาในระยะยาวเรื่องระบบราง คือ สถานีรถไฟอู่ตะเภา และรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-ระยองระยะที่ 1 (ปี 2558 - 2560)
เป็นการเพิ่มศักยภาพการรองรับผู้โดยสารเป็น 3 ล้านคน/ปี โดยใช้อาคารผู้โดยสารที่มีอยู่เดิมและอาคารผู้โดยสารใหม่ รวมทั้งทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดอากาศยาน การบริการทางภาคพื้น ระบบเติมน้ำมัน และหอบังคับการบินที่มีอยู่เดิม • ก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 331 ตอนแยกทางหลวงหมายเลข 36 (พนมสารคาม) – บรรจบทางหลวงหมายเลข 3 (อ.สัตหีบ) ขยายจาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร • ก่อสร้างทางหลวงพิเศษ (Moterway) ระหว่างเมืองสายพัทยา – มาบตาพุด • ปรับถนนทางเข้า – ออกหลักในฝั่งตะวันตกของท่าอากาศยานให้สอดคล้องกับการบริการเชิงพาณิชย์ของท่าอากาศยานระยะที่ 2 (ปี 2561 – 2563)
เพื่อรองรับผู้โดยสารเป็น 5 ล้านคน/ปี โดยการเพิ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในฝั่งตะวันตกให้มากขึ้น โดยยึดหลัก One Airport Two Mission ในการบริหารจัดการพื้นที่การให้บริการเชิงพาณิชย์และความมั่นคง ภายใต้การดูแลของกองทัพเรือระยะที่ 3 (ปี 2563 เป็นต้นไป)
การศึกษาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ Landside และ Airside รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานอู่ตะเภา ให้รองรับการเติบโตของกิจการการบินในอนาคต1. เส้นทางหลวง
โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายถนนให้กว้างขึ้น เพื่อรองรับการใช้งาน ในฐานะที่เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์ และนิคมอุตสาหกรรมท่าอากาศยาน ซึ่งส่วนนี้จะรับผิดชอบโดยกรมทางหลวง2. เส้นรางรถไฟ
เป็นการขยายเส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่สนามบินด้วยระบบรางให้ง่ายขึ้นที่ ส่วนนี้จะรับผิดชอบโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย1. เส้นทางหลวง
สำหรับโครงข่ายถนนที่กรมทางหลวงจะเป็นผู้รับผิดชอบ แบ่งเป็นโครงการที่กำลังก่อสร้าง และเป็นแผนงานในอนาคต ดังนี้โครงการที่กำลังก่อสร้าง (ในแผนที่เส้นสีแดง)
• ขยายทางหลวงหมายเลข 331 ตอนแยกทางหลวงหมายเลข 36 (พนมสารคาม)-ทางหลวงหมายเลข 3 (อ.สัตหีบ) จาก 2 เป็น 4 ช่องจราจร ระยะทาง 25.923 กม. วงเงิน 607.650 ลบ. คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2560Google Street หน้าทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา ทางหลวง 3126
IMAGE : รูปแบบการขยายชองจราจรของโครงการขยายทางหลวง
แผนงานในอนาคต (ในแผนที่เส้นสีชมพู)
• ขยายทางหลวงหมายเลข 3 ตอนบ้านฉาง-ระยอง จาก 4 เป็น 8 ช่องจราจร ดำเนินการในปี 2560-2562 และ ตอนสัตหีบ-บ้านฉาง จาก 4 เป็น 8 ช่องจราจร ดำเนินการในปี 2561-2563 • ขยายทางหลวงหมายเลข 332 ตอนแยกเจ-แยกสนามบินอู่ตะเภา จาก 2 เป็น 4 ช่องจราจร ดำเนินการปี 2562-25642. เส้นรางรถไฟ
สำหรับการวางแผนด้านระบบรางเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าออกสนามบินอู่ตะเภานั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้จัดทำแผนปรับปรุงเส้นทางรถไฟและก่อสร้างสถานี คือ เพิ่มสถานีอู่ตะเภา เพื่อรองรับผู้โดยสาร ซึ่งกองทัพเรือยินดีจะยกพื้นที่ให้สร้าง และยังมองถึงการเดินรถไฟถึงท่าเรือสัตหีบ (ท่าเรือจุกเสม็ด) โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณปี 2560 ในการลงทุนอยู่ที่ราว 70 ลบ. คาดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเปิดประมูลได้ในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ ใช้เวลาดำเนินการ 18 เดือนแล้วเสร็จ นอกจากนั้นอาจจะมีปรับปรุงทางให้แข็งแรงช่วงสถานีบ้านพลูตาหลวง-สถานีอู่ตะเภา ระยะทางประมาณ 4 กม. โดยจะมีการจัด Shuttle Bus ให้บริการระหว่างสถานีรถไฟอู่ตะเภาเข้าไปยังสนามบินPRESENTATION
มอเตอร์เวย์สาย 7 ช่วงพัทยา-มาบตาพุด
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์)หมายเลข 7 สายกรุงเทพฯ – บ้านฉาง ช่วงพัทยา – มาบตาพุด มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท โดยกรมทางหลวงแบ่ง 13 ตอน รวมระยะทาง 31 กม. ระยะเวลาดำเนินงานก่อสร้าง 4 ปี เริ่มก่อสร้างปี 2559 ให้แล้วเสร็จในปี 2562 จะดำเนินการก่อสร้างเชื่อมต่อเส้นทางจากช่วงชลบุรี – พัทยา บริเวณจุดตัดทางหลวงหมายเลข 36 ไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 3 บริเวณอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง และการก่อสร้างปรับปรุงถนนโครงข่ายเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 บริเวณตำบลบ้านอำเภอ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ควบคู่ไปด้วย ระยะทาง 7.856 กิโลเมตร โดยก่อสร้างเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร ในเขตทางกว้าง 80 เมตร มีทางแยกต่างระดับ ได้แก่ ทางแยกต่างระดับมาบประชัน ทางแยกต่างระดับห้วยใหญ่ ทางแยกต่างระดับบ้านเขาซีโอน นอกจากนี้ ยังมีสถานีบริการทางหลวง ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณตำบลห้วยใหญ่ (ประมาณ กม.20) ด่านจัดเก็บเงินค่าผ่านทางแบบระบบปิด 3 แห่ง ได้แก่ ด่านห้วยใหญ่ ด่านเขาชีโอน และด่านอู่ตะเภาIMAGE : กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม
รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-ระยอง
- ระยะทางรวม 193.5 กิโลเมตร โดยเริ่มต้นจากสถานีลาดกระบังไปจนถึงสถานีระยอง
- ใช้เขตทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นหลัก
- ระบบรางคู่ (Double Track) และมีความกว้างรางขนาดมาตรฐาน 1.435 เมตร (Standard Gauge)
- โครงสร้างทางยกระดับ (Elevated) เกือบทั้งหมด และมีอุโมงค์เดี่ยวทางคู่ (Single Large Tunnel for Double Track) ความยาว 300 ม. บริเวณทางเบี่ยงเขาชีจรรย์
- ศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) พื้นที่กว่า 400 ไร่ จะตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
- คาดว่าจะเปิดเดินรถได้ในปี 2563 (ข้อมูล วันที่ 12 พ.ค. 59)
- ในอนาคตจะมีการพัฒนาส่วนต่อขยายจากสถานีระยองไปยังท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา และจังหวัดตราด รวมระยะทางอีก 160 กม.
- เป็นระบบรถไฟความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ระยะเวลาเดินทางประมาณ 1.05 ชั่วโมง (65 นาที)
- ขบวนรถมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยจำแนกการให้บริการทั้งระดับชั้นวีไอพี (VIP Class) ชั้น 1 (First Class) และชั้นธรรมดา (Standard Class)
IMAGE : สถานีรถไฟความเร็วสูงระยอง
- สถานีรถไฟความเร็วสูงทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และระยอง
- ที่ตั้งของสถานีมีความสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านผังเมืองและแนวคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่สอดคล้องกับระบบขนส่งมวลชน (Transit Oriented Development: TOD)
- มีทางเข้า-ออกสถานีที่เชื่อมต่อระหว่างย่านสถานีกับถนนโดยรอบ พร้อมทั้งจัดให้มีพื้นที่จอดรับส่งผู้ใช้บริการเพื่อให้สามารถเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง (INTER-MODAL PLANNING) ไปยังระบบขนส่งอื่นๆ เช่น Airport Link รถไฟความเร็วสูงสายแก่งคอย-ฉะเชิงเทรา ระบบขนส่งมวลชนทางรางขนาดเบา (Monorail) ของเมืองพัทยา
- สถาปัตยกรรมภายในอาคารบ่งบอกเอกลักษณ์ของท้องถิ่น มีความทนทานต่อสภาพอากาศ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และเด็ก ตามมาตรฐานสากล (Universal Design) รวมถึงพื้นที่สำหรับจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ของชุมชน เพื่อส่งเสริมการสร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น